แตกต่าง แต่ไม่แตกแยก
ถ้ามนุษย์เกิดมาต้องการแต่เหตุผล พระเจ้าคงไม่ออกแบบให้มนุษย์มีอารมณ์
หากเราหลับตาและลองนึกถึงพระอาทิตย์ แต่ละคนคงสัมผัสได้ไม่เหมือนกัน เช่น รู้สึกได้ถึงแสงสว่าง ความร้อน ความอบอุ่น
เรารู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดผ่าน สัมผัสได้ จับต้องไม่ได้ แต่รับรู้ได้ว่ามีอยู่จริง
หากเรานึกถึงคนรักที่เสียชีวิตไปแล้ว รู้สึกได้ว่าเขายังอยู่ไม่ห่างจากเรา รับรู้ได้ทางความรู้สึก แต่จับต้องไม่ได้
ทั้งที่เหตุผลจริงๆ คือเราหลับตาแล้วเห็นพระอาทิตย์ สัมผัสถึงสายลม นึกถึงคนรักที่เหมือนไม่ได้ไปไหนไกล oyjoไม่ใช่ความจริงที่จับต้องได้แล้ว แต่เรารู้สึกได้ว่ามันคือความจริง
ความรัก ความเกลียด ต้องการเหตุผลไหม
หากเราเรารักใครสักคนแต่กลับหาเหตุผลมาวัด นั่นคงไม่อาจเรียกได้ว่าความรัก
คนที่อยู่ไกลกันสุดขอบฟ้ายังมาพบเจอและรักกัน ณ ที่ใดที่หนึ่งบนโลกใบนี้
คนสีผิวแตกต่างรักกันโดยที่ไม่แคร์สายตาชาวโลก ว่าใครจะมองความต่างนี้เป็นอุปสรรคหรือไม่
คนเพศเดียวกันรักกัน บางประเทศจดทะเบียนสมรสได้ก็ยังมี
คนรวยรักกับคนจนในสังคมที่มีแต่ผู้คนคอยจับตาและนินทาก็ยังมีให้เห็น
คนพิการไม่มีแขนขายังมีความรักและแต่งงานมีลูกได้
คนตาบอดไม่เห็นโลกหรือแม้แต่หน้าคนที่รักก็ยังรักกันได้ ทำให้โลกใบนี้มีสีสันที่งดงาม
ความรักจึงไม่มีเหตุผลใดๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ เพศ หรือฐานะทางสังคม
ความรักไม่ต้องการเหตุผล แต่ถ้าเราอยู่ด้วยกันอาจมีอะไรมากกว่าความรัก นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
การพบเจอคนที่เรารู้สึกไม่ถูกชะตา ไม่นับเป็นความเกลียด แต่ความเกลียดควรมีเหตุผล การจะเกลียดใครสักคน คนคนนั้นต้องทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดและสูญเสียอะไรบางอย่างที่สำคัญในชีวิตไป บางครั้งความเกลียดอาจเกิดจากความอิจฉาหรือการไม่ยอมรับความจริงในตัวเอง
ความเกลียดอาจเกิดจากการเห็นเรื่องไม่ยุติธรรม หรืออีกหลากหลายเหตุผล ที่สำคัญบางครั้งความรักความเกลียดถูกสร้างขึ้นจากคำว่าเพราะไม่ใช่พวกเรา มนุษย์อยู่รวมกันเป็นสัตว์สังคมตั้งแต่โบราณ หากมีความคิดความเชื่อผิดแปลกกับหมู่คณะ คนเหล่านั้นจะถูกเกลียดชังหรือถูกขับไล่ออกจากกลุ่ม
แต่ในบางครั้ง เราอาจมองข้ามความจริงบางอย่างไป เพราะเรารักหรือเกลียดคนคนหนึ่งโดยที่ตัวเองไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย เรารักและเกลียดโดยขาดการพิจารณาและปล่อยให้อารมณ์พาไปโดยไม่รู้ตัว
การรับข้อมูลข่าวสารในโลกปัจจุบันที่มีทั้งข้อมูลจริงและเท็จปะปนกัน โดยไม่เคยสัมผัสเอง สามารถสร้างความรักและเกลียดได้ หากไม่รู้จักแยกแยะ
ฉันเกลียดเจ้านายเพราะเขาใช้งานหนัก หากมองตามความเป็นจริงเราไม่จำเป็นต้องเกลียดเจ้านายก็ได้ แค่ลาออกไปหาเจ้านายใหม่ก็เท่านั้นเอง
ฉันเป็นคนรวย คนจนต้องให้เกียรติและฟังที่ฉันพูด หากมองตามความเป็นจริง เราจะให้เกียรติและรับฟังคนหนึ่งพูด ไม่ใช่ว่าเพราะคนคนนั้นรวย แต่เพราะเราเห็นคุณค่าบางอย่างและยอมรับเขาต่างหาก
ทุกสังคมมีกฎระเบียบที่ทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข และเราก็ควรปฏิบัติตามคนส่วนใหญ่ในสังคม หากทำได้ดังนี้สังคมนั้นย่อมมีแต่ความสงบสุข
ทำดีคนจะรัก ทำชั่วคนจะเกลียด เราเอาอะไรมาวัดว่าคนนี้ดีหรือชั่ว ดีในสายตาเราอาจชั่วในสายตาคนอื่น ชั่วในสายตาคนอื่นกลับดีในสายตาเรา
พวกหนึ่งบอกว่าก็เอาเหตุผลมาวัดสิครับ เหตุผลมันชัดเจนอยู่แล้ว
ไม่ว่าคุณจะพูดหรือกล่าวอ้างอันใด คุณต้องมีเหตุผลหรือหลักฐานมารองรับ ไม่เช่นนั้นคุณคือพวกจอมปลอม เพ้อเจ้อคิดไปเอง และหลงตัวเอง
พวกหนึ่งบอกว่า ความรัก ความเชื่อ และความศรัทธา ทำไมต้องมีเหตุผล ทำไมต้องมีกฎระเบียบ ในเมื่อสิ่งต่างๆ เหล่านั้นล้วนเกิดจากความเชื่อไม่ใช่หรือ หากคนเราปราศจากความเชื่อที่จะยอมรับกฎบางอย่างแล้วจะมีกฎเกณฑ์ต่างๆ ได้อย่างไร
ความเชื่อก่อให้เกิดสังคม ประเทศชาติ ความเชื่อและลงมือทำก่อให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ มากมายบนโลกใบนี้ แม้ในบางครั้งความเชื่อเป็นสิ่งที่ผิด แต่ในยุคสมัยนั้นมันถูกน่ะ แม้แต่เหตุผลในอดีตเมื่อเวลาผ่านไปก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน
หากเปรียบกระดานหมากล้อมเป็นโลกหรือสังคม เม็ดหมากขาวดำย่อมเปรียบได้กับผู้คนที่มีความคิดแตกต่างกัน คนเดินหมากย่อมมีความคิดเป็นของตนเอง ผ่านการลองผิดลองถูก ผ่านการถกเถียงทางปัญญาร่วมกัน ต่างฝ่ายต่างรู้ว่าเป้าหมายในการเล่นหมากล้อมคือผู้ใดล้อมพื้นที่ได้มากที่สุด ผู้นั้นย่อมเป็นฝ่ายชนะ
ในประเทศหรือสังคมก็เช่นกัน ต่างฝ่ายต่างต้องการให้ประเทศหรือสังคมที่เป็นอยู่ดีขึ้น แต่วิธีการไปสู่เป้าหมายย่อมแตกต่างกันดังนั้นเมื่อฝ่ายหนึ่งล้อมพื้นที่ได้มากกว่า อีกฝ่ายก็ต้องยอมรับเช่นกัน
นิตยสาร HUG ปีที่ 13 ฉบับที่1
ครูจักร์